สมัยรัตนโกสินทร์ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๗๕
การปกครองของไทยระหว่างรัชกาลที่ ๔ ถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ ถือเป็นช่วงสำคัญที่สุดของการปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงถึง ๒ ครั้ง ในสมัยรัชกาลที่ ๕ และในสมัยรัชกาลที่ ๗การปรับปรุงการปกครองในสมัยรัชกาลที่ ๔
- การเมืองการปรับปรุงการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นการแทรกระบบบริหารเก่า เช่น การยัดหลักเอาคนที่มีความสามารถมารับราชการแทนแบบอุปถัมภ์
- การทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมแห่งอำนาจการเมือง เช่น พระองค์ทรงดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาร่วมกับบรรดาขุนนางและข้าราชการ ให้ประชาชนได้เข้าเฝ้าพระองค์อย่างใกล้ชิดขณะพระองค์เสด็จผ่าน เวลาเข้าเฝ้าให้ขุนนางและข้าราชการสวมเสื้อ และให้ประชาชนถวายฎีการ้องทุกข์ได้
การปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ ๕
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงพระชนมพรรษาได้เพียง ๑๕ พรรษา โดยมีเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ อำนาจการปกครองส่วนใหญ่อยู่ในมือของขุนนางสกุลบุนนาค พระองค์ทรงรู้สึกว่าพระราชอำนาจของพระองค์มีน้อยมาก จึงทรงพยายามที่จะรวมอำนาจมาที่สถาบันพระมหากษัตริย์
หลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์ได้ ๒ ปี ได้ทรงวางรากฐานทางอำนาจด้วยการตั้ง กรมมหาดเล็ก ขึ้นเพื่อสร้างฐานพระราชอำนาจของกษัตริย์และได้ทรงออก พระราชบัญญัติหอรัษฎากรพิพัฒน์ รวมการเก็บภาษีเข้าสู่ศูนย์กลาง ซึ่งเป็นการริดรอนอำนาจของกรมกองต่างๆที่เคยมีหน้าที่เก็บภาษี
หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระองค์ได้ตราพระราชบัญญัติขึ้น ๔ ฉบับ ต่อมาทรงดึงอำนาจเข้าสู่สถาบันพระมหากษัตริย์ได้สำเร็จเมื่อกรมพระราชวังบวรวิชัยญาติทิวงคต ซึ่งเป็นกรมพระราชวังบวรฯ คนสุดท้าย ต่อมากลุ่มเจ้านายและข้าราชการซึ่งได้รับการศึกษาจากทวีปยุโรป ซึ่งเรียกว่า กลุ่มก้าวหน้าร.ศ. ๑๐๓ ได้เสนอให้ปรับปรุงการปกครองไปเป็นแบบพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional monarchy) แต่รัชกาลที่ ๕ ทรงเห็นว่าเมืองไทยในขณะนั้นยังไม่มีความรู้และยังไม่พร้อมที่จะปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ สิ่งสำคัญไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่เป็นการปฏิรูปการบริหารราชการ
การปฏิรูปการปกครองครั้งสำคัญเริ่มต้นโดยได้ทรงตั้งกรมขึ้นใหม่ รวมเป็น 12 กรม ต่อมาได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวง และต่อมาได้มีพระราชบัญญัติแยกอำนาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไทย ออกจากกันอย่างเด็ดขาดมีการปฏิรูปการบริหารการปกครองส่วนภูมิภาค โดยให้มีลักษณะรวมเข้าสู่ศูนย์กลาง เรียกว่า ระบบเทศาภิบาล โดยมีอำนาจหน้าที่ตามลำดับตั้งแต่ระดับมณฑล เมือง อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน การปรับปรุงการปกครองส่วนท้องถิ่นที่ต้องการให้ราษฎรมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาล การสุขาภิบาลเริ่มต้นครั้งแรกที่ ตำบล ท่าฉลอม จังหวัดสมุทรปาราการ เมื่อพ.ศ.๒๔๔๘ การเมืองการปกครองสมัยรัชกาลที่ ๖
เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงต้นรัชกาล คือกบฏ ร.ศ.๑๓o (พ.ศ.๒๔๕๔) เกิดจากกลุ่มนายทหารหนุ่มและพลเรือนกลุ่มหนึ่งได้ตั้งขบวนการที่จะก่อการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ล้มเหลวเพราะถูกจับกุมเสียก่อน แต่ต่อมาพ.ศ.๒๔๖๗ ทุกคนก็ได้รับอภัยโทษ
รัชกาลที่ ๖ ได้ตั้งกระทรวงทหารเรือและกระทรวงมุรธาธร แล้วยุบรวมกระทรวงนครบาลเข้ากับกระทรวงมหาดไทย มีการโอนสมุหเทศาภิบาลที่เคยขึ้นกับกระทรวงมหาดไทยมาขึ้นโดยตรงต่อพระมหากษัตริย์ และรวมเขตการปกครองมณฑลขึ้นเป็นภาค
รัชกาลที่ ๖ พยายามพัฒนาความรู้ความคิดของพลเมืองให้มากขึ้น เช่น ให้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นในหนังสือพิมพ์ ดังที่ปรากฏบทความวิพากษ์วิจารณ์การปกครองของพระองค์ในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ทรงเห็นว่าชาวไทยยังไม่พร้อมที่จะใช้ระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นของใหม่ จึงทรงพระราชดำริที่จะสอนระบอบประชาธิปไตยแก่ขุนนางและข้าราชการก่อน จึงทรงจัดตั้งดุสิตธานี ในบริเวณพระราชวังดุสิต เพื่อฝึกให้ขุนนางและข้าราชการทดลองปกครองและบริหารราชการท้องถิ่นที่เรียกว่า เทศบาล



ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น